ทำความรู้จัก DDoS Attack คืออะไร?

DDoS Attack คืออะไร?

ในปัจจุบันการทำงานด้วยรูปแบบออนไลน์ หรือการใช้อินเทอร์เน็ตถือเป็นเรื่องทั่วไปของชีวิตประจำวันของคนทั่วไป แต่การทำงานรูปแบบออนไลน์หรือการใช้อินเทอร์เน็ตก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ซึ่งข้อดีช่วยเพิ่มความสะดวก รวดเร็ว แม้ไม่ได้เข้าบริษัทก็ตาม แต่ข้อเสียเองก็มีปัญหาเรื่องข้อมูลในออนไลน์อาจรั่วไหลได้ โดยการรั่วไหลของข้อมูลนี้เป็นเรื่องสำคัญ ซึ่งตัวเจ้าปัญหาที่เป็นกระแสอย่าง DDOS ATTACK เป็นวิธีการโจมตีระบบอินเทอร์เน็ตอย่างหนึ่ง วันนี้เราเลยมีรายละเอียดเกี่ยวกับ DDoS Attack เผื่อคุณจะได้หาวิธีแก้ไข ไม่ให้ข้อมูลในอินเทอร์เน็ตรั่วไหล

 

ทำความรู้จัก DDoS Attack กันก่อน

การโจมตีแบบ DDoS Attack เป็นการโจมตีในลักษณ์บนโลกออนไลน์ ในระบบอินเทอร์เน็ต เพื่อทำให้ระบบเป้าหมายปฏิเสธหรือหยุดการให้บริการ หรือภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Denial of Service ซึ่งเป็นรูปแบบการโจมตีที่เกิดขึ้นพร้อมกันและมีเป้าหมายเดียวกัน 

 

โดยเครื่องที่จะตกเป็นเหยื่อจะถูกสร้างข้อมูลขึ้นมา แล้วส่งไปที่ระบบเป้าหมายกระแสข้อมูลที่ไหลเข้ามาในปริมาณมหาศาล ทำให้ระบบที่โดนการโจมตีของ DDos Attack ทำงานช้า และทำงานหนักมากยิ่งขึ้น เมื่อเกินกว่ระดับที่จะรับได้การทำงานของระบบจะหยุดลง และเป็นต้นเหตุทำให้ผู้ใช้ไม่สามารถใช้บริการระบบเป้าหมายได้ตามปกติ และทางฝั่งแฮกเกอร์เองก็สามารถฝั่ง source code เอาไว้ใน App ของลูกค้าได้ เช่น .php เป็นต้น ทั้งนี้แฮกเกอร์จะสร้างสั่งคำสั่งโจมตีแฮกเกอร์ ทำให้เครื่องของลูกค้าเป็นหนึ่งในเหยื่อของแฮกเกอร์นั่นเอง 

 

วิธีสังเกตว่าเครื่องเราถูกโจมตีด้วย DDos Attack

วิธีสังเกตว่าเครื่องตัวเองโดนโจมตีด้วย DDos Attack มีอยู่ 2 อย่างดังนี้

  • เป็นการโจมตีในระดับ Layer ¾ หรือที่เรียกว่า Volumetric Attack เป็นการโจมตีที่ตรวจจับได้ง่าย เห็นได้ชัดว่ามี Incoming Traffic ขนาดใหญ่ที่ผิดปกติจนเป็นที่สังเกต
  • เป็นการโจทตีระดับ Layer 7 หรือที่เรียกว่า Application Attack จะเป็นการโจมตีที่เน้นไปที่เซิร์ฟเวอร์ โดยเป็นการส่งคำขอเป็นปริมาณมาก จนทำให้ระบบทำงานผิดปกติ ระบบทำงานหนักหน่วง อาจถึงขั้นที่ทำให้ระบบหยุดทำงานได้ เมื่อตรวจสอบเซิฟเวอร์จะพบว่า High usage CPU/Memory และจากสถิติจาก HTTP Request พบ Botnet มากถึง 70% ดังนั้นถ้าเว็บไซต์เกิดอาการหน่วง ทำงานช้า แนะนำอย่าพึ่งอัพเกรดเครื่อง ให้จัดการบอทเหล่านี้ก่อน

 

วิธีป้องกัน DDos Attack

 

  • แนะนำให้ใช้บริการป้องกัน DDoS ขนาดใหญ่ https://www.cloudflare.com
  • แนะนำให้เปิด Ports ที่จำเป็นสำหรับการใช้งานของลูกค้าเพื่อลดความเสี่ยงในการโดนเจาะระบบ
  • ติดตั้ง Tools ที่ช่วยในการ block จาก connection ที่เชื่อมต่อแบบผิดปกติเช่น fail2ban, apacheModsecurity หรือใช้ Nginx ทำ rate limit
  • ติดตั้ง Firewall เพื่อป้องกันการโดนโจมตีระบบเพื่อรับ Traffic ขนาดใหญ่

เพราะเหตุใด Promote Facebook ไม่ผ่าน

4 เหตุผล! เพราะเหตุใด Promote Facebook ไม่ผ่าน

คนไหนที่ทดลองทำโปรโมท Facebook หรือ Promote Facebook ดูแล้ว บางครั้งก็อาจจะเจอกับปัญหาน่าปวดศรีษะ ได้แก่ ไม่อนุมัติโฆษณา หรือคำร้องขอขึ้นโปรโมทอย่างแน่แท้แน่นอน

1. โพสต์รายละเอียดไม่ถูกแผนการของ Facebook

การใช้คำ Promote post หรือรายละเอียดที่เกินจริง ทำให้โปรโมท Facebook ไม่ผ่านการตรวจสอบรวมทั้งอนุมัติให้ โดยเหตุผลจำนวนมากที่ Facebook ไม่อนุมัติ มีตัวอปิ้งทั้งหมดทั้งปวง 9 ข้อ

1. เนื้อความหรือรูปภาพที่เกี่ยวกับการผลักดันและส่งเสริมให้ใช้ ซื้อ ขาย สารเสพติด ยาไม่ถูกกฎหมายต่างๆ
2. อาหารเสริมที่ไม่ปลอดภัย แนวทางลดความอ้วนที่ไม่ปลอดภัย รายละเอียดสร้างความเข้าใจผิดหรือเป็นเท็จ
3. เนื้อความหรือรูปภาพเชิญชวนให้ใช้ หรือแนวทางการขายอาวุธปืน ลูกปืน ระเบิด
4. เนื้อความแสดงถึงเรื่องฉาวโฉ่ ความร้ายแรง
5. แสดงเอกสารเลียนแบบ เป็นต้นว่า วุฒิการศึกษา หนังสือเดินทาง
6. ลิงก์เป็น Malware หรือ Spyware
7. ภาพลามกอนาจาร
8. การโฆษณาการลดหุ่น ประชาสัมพันธ์เกินจริง มีรูป Before/After กลุ่มเป้าหมายจำต้องอายุ 18 ขึ้นไป
9. การเชิญเชิญในลักษณะธุรกิจโครงข่าย (ขายตรง)
10. โปรโมทเกี่ยวกับการบ้านการเมือง

ทางแก้ไขโปรโมท Facebook ไม่อนุมัติ จะต้องปรับแก้ประชาสัมพันธ์ให้มีเนื้อความหรือรูปภาพที่เป็นไปตามแผนการ Facebook และก็อุทธรณ์การไม่อนุมัติประชาสัมพันธ์ Facebook โดยการกรอกแบบฟอร์มให้ไตร่ตรองโปรโมท Facebook อีกทีหนึ่ง

2. ห้ามใช้คำหรือภาพโปรโมทเกินจริง แล้วก็คดโกง

การใช้คำที่เกินจริง เป็นต้นว่า ขาวขึ้นได้จริง, รักษาได้ทุกโรค หรือการใช้ภาพก่อนรวมทั้งข้างหลังการใช้ พวก Before & After ที่ดูแล้วเกินจริง ถ้าเกิดระบบของ Facebook ตรวจพบ โปรโมทของคุณจะมิได้รับการยินยอมโดยทันที

3. Text Overlay หรือ ใจความบนภาพเกิน 20%

แม้คิดจะ Promote Facebook จำเป็นต้องเช็กเนื้อความในภาพก่อนเสมอ ด้วยเหตุว่าทาง Facebook ได้ระบุมาตรฐานมาว่า เนื้อความในรูปภาพไม่สมควรเกิน 1/5 ส่วนของภาพทั้งผอง ซึ่งคิดเป็น 20% ของภาพนั่นเอง นำภาพไปเช็คที่ https://www.facebook.com/ads/tools/text_overlay

4. ใช้จำพวกโพสต์ Facebook ไม่รองรับ

ผู้ที่จะทำคอนเทนต์รูปแบบใหม่ เพื่อล่อใจกลุ่มเป้าหมายได้มากเพิ่มขึ้น แม้กระนั้นจำเป็นต้องมาสำรวจกันก่อนดีๆว่าโพสต์ที่พวกเราทำ ถูกรวมอยู่ในแนวทางการโฆษณาของ Facebook หรือเปล่า ตัวอย่างเช่น ไฟล์รูปภาพชื่อสกุล .GIF , โพสต์รูปหรือวิดีโอพร้อม, โพสต์ที่เป็นโน้ต หรือทำเป็น Poll และก็ไลฟ์วีดีโอ ซึ่ง 4 ชนิดนี้เป็นโพสต์ที่ระบบจะไม่อนุมัติให้ขึ้นประชาสัมพันธ์ได้

LINE จัดงาน

ส่งท้ายปี LINE จัดงาน ‘LINE RETAIL TECH 2019’ ที่มาพร้อมเทคโนโลยี รวบรวมเทรนด์ของโลกธุรกิจค้าปลีก และเชิญกูรูชื่อดังในวงการค้าปลีก ร่วมแชร์มุมมองและประสบการณ์ในวงการธุรกิจค้าปลีก นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวโปรเจค ‘LINE OA Plus E-Commerce’ โซลูชั่นใหม่เพื่อผู้ประกอบการยุคดิจิทัลอีกด้วย

คุณศรีสุภาคย์ อารีวณิชกุล (ผู้อำนวยการธุรกิจองค์กร LINE ประเทศไทย) กล่าวว่า “ธุรกิจค้าปลีกไทยนับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจของประเทศ แต่ด้วยผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีทำให้ธุรกิจค้าปลีกมีการแข่งขันที่สูงขึ้น การพัฒนาเครื่องมือทางการตลาดใหม่ ๆ ที่สามารถเข้ามาตอบโจทย์ช่วยให้ธุรกิจค้าปลีกสามารถการทำตลาดดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็น

เราตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องเหล่านี้ จึงจัดสัมมนาครั้งยิ่งใหญ่ส่งท้ายปี กับงาน ‘LINE RETAIL TECH 2019’ เพื่ออัปเดตภาพรวมตลาดค้าปลีกและ E-Commerce ของประเทศไทย เปิดมุมมองและเทรนด์สำคัญที่น่าจับตามองสำหรับธุรกิจค้าปลีกโดยเฉพาะ รวมไปถึงความท้าทายและทางเลือกที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดสำหรับธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบัน

พร้อมเปิดโอกาสให้กลุ่มธุรกิจค้าปลีกได้ทำความรู้จัก ความเข้าใจ รวมถึงสัมผัสประสบการณ์เทคโนโลยีและโซลูชั่นใหม่ที่ LINE ได้พัฒนาขึ้นเพื่อผู้ประกอบการค้าปลีกในยุคดิจิทัลโดยเฉพาะ

โดย LINE พร้อมเป็นแพลตฟอร์มกลางที่รวบรวมหลากหลายโซลูชั่นแบบครบวงจร เพื่อรองรับและตอบโจทย์นักการตลาดและกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ และสร้างกลยุทธ์ในการเชื่อมต่อกับผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด”

ภายในงาน คับคั่งไปด้วยกูรูผู้ที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจค้าปลีกและการตลาดดิจิทัลจำนวนมากที่มาร่วมเปิดมุมมองในเชิงลึกทั้งแนวโน้มธุรกิจค้าปลีก และบริบทใหม่ของการตลาดดิจิทัล พร้อมกับการมองหาเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อให้การทำการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด เกิดประโยชน์และคุ้มค่ากับเม็ดเงินที่ใช้มากที่สุด

คุณวรวุฒิ อุ่นใจ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย มาร่วมพูดคุยในหัวข้อ Retail Now and Next เกี่ยวกับสถานการณ์ของธุรกิจค้าปลีกในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงเทรนด์ของร้านค้าปลีกรูปแบบใหม่ที่เกิดขึ้นแล้วในต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐอเมริกา และจีน ปัญหาและอุปสรรคที่จะก้าวไปสู่ค้าปลีกยุคใหม่

อีกทั้งยังมีห้องสัมมนาแยกพิเศษสำหรับผู้ที่ต้องการเจาะลึกในรายละเอียดเกี่ยวกับโซลูชั่นต่าง ๆ จาก LINE เพื่อเสริมความรู้ และทำความเข้าใจสำหรับการใช้งานโซลูชั่นต่าง ๆ จาก LINE ให้ดียิ่งขึ้น และการสนทนาหัวข้อ Driving sales conversion to success with LINE OA and API ซึ่งพูดถึงแนวคิดการแปลงยอดขายสู่ความสำเร็จด้วย LINE OA และ API ผ่าน 2 ผู้เชี่ยวชาญจาก LINE Certified Coach

Digital Transformation

นักธุรกิจยุคนี้ต้องรู้จัก Digital Transformation แต่หากนักธุรกิจมือใหม่ยังไม่รู้จัก ถือว่าพลาด แต่ไม่เป็นไรวันนี้เราจะมาเล่าให้ฟัง ว่าคืออะไรและ ธุรกิจ SMEs ควรปรับตัวอย่างไรในยุคดิจิทัล

หลาย ๆ คนคงนึกภาพว่าการปรับตัวธุรกิจสู่ยุคดิจิทัล หรือ “Digital Transformation” ว่าเป็นการใช้เทคโนโลยีอย่างเว็บไซต์ หรือ การสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ หรือ ใช้เทคโนโลยีเพียงจัดเก็บข้อมูล และ ลดความเสี่ยงต่อแฮกเกอร์ ซึ่งนั่นยังไม่ใช่ทั้งหมดของ “Digital Transformation

Digital Transformation” คือ การปรับใช้เทคโนโลยีเพื่อลดความซับซ้อนของกระบวนการทางธุรกิจในการปรับปรุง จากโครงสร้างของกระบวนการทำงาน และ แนวคิดขององค์กร ตั้งแต่ ผู้นำองค์กร จนถึง บุคลากรภายในองค์กร รวมถึงขยายบริการและผลิตภัณฑ์ด้วยเทคโนโลยีไปสู่โลกดิจิทัล

จากการวิจัยของ Bain & Company รายได้ขององค์กรที่เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลเพิ่มขึ้น 14% ระหว่างปี 2558-2560 (มากกว่าการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเทคโนโลยีในธุรกิจอุตสาหกรรมเดียวกัน) Bain & Company กล่าวเพิ่มเติมว่า ผลกำไรตามรูปแบบที่คล้ายกัน – 83% ขององค์กรที่ทำ Digital Transformation อัตรากำไรเพิ่มขึ้น ในขณะที่องค์กรที่ยังไม่ได้ทำมีจำนวนน้อยกว่าครึ่งหนึ่ง

อีกความเชื่อผิด ๆ ของกลุ่มคน คือ Digital Transformation เป็นเรื่องขององค์กร หรือ ธุรกิจ ขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริงองค์กรทุกขนาด และ ทุกอุตสาหกรรมกำลังยอมรับความเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้

ธุรกิจขนาดเล็กกับ – Digital Transformation

การสำรวจล่าสุดของหน่วยงานวิจัยด้านไอที พบว่า มีธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็กถึง 1,600 แห่ง มีเพียง 18% เท่านั้นที่ไม่ได้มีรูปแบบการทำ Digital Transformation นั่นหมายถึง 82% ของ SMB อยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทางดิจิทัลแล้ว – Anurag Agrawal CEO ของ Techaisle กล่าว

การใช้เทคโนโลยีเป็นรากฐาน คือส่วนสำคัญขององค์กรที่ปรับตัวสำหรับ Digital Transformation จากการวิจัยของ Agrawal พบว่า 42% ของ SMB กำลังสร้างมุมมองแบบองค์รวมที่เกิดเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล คือ การมองกระบวนการที่ส่งผลกระทบต่อทุกแง่มุมของธุรกิจ และ เชื่อว่าการปรับตัวทางดิจิทัลต้องกลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์องค์กร

โครงสร้าง” ขององค์กรคือส่วนสำคัญ ของ Digital Transformation

หลาย ๆ องค์กรที่ก้าวสู่ความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล หรือ Digital Transformation ได้เกิดความคิดแบบองค์รวม และ รอบคอบมากขึ้น ซึ่งปัจจัยที่สำคัญที่สุดมุ่งเน้นไปที่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างขององค์กร โดยในช่วงเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิตอลมี 3 ประเด็นหลัก ๆ ที่ควรให้ความสำคัญ

1.สร้างสรรค์พาร์ทเนอร์ทางธุรกิจ

ขั้นแรกให้ร่วมมือกับผู้มีส่วนได้เสียกับองค์กร โดยต้องเข้าใจก่อนว่า Digital Transformation ไม่ได้เป็นเพียงการเทคโนโลยีแบบใหม่เท่านั้น แต่เป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานขององค์กรทั้งหมด ซึ่งสอดคล้องกับงบประมาณขององค์กรด้วย เพราะ โครงสร้างขององค์กรในยุคดิจิทัลต้องมีงบประมาณเพื่อใช้จ่ายทางด้านไอที เป็นตัวขับเคลื่อนองค์กร

ยกตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์ม E-Commerce ของธุรกิจที่มีการใช้งานที่ยาก และ สร้างความสับสนกับผู้ใช้ ทำให้ผู้ใช้งานไม่กดซื้อสินค้า และทิ้งสินค้าในตะกร้า ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงแพลตฟอร์มไปสู่ยุคดิจิทัล แต่อาจจะไม่สามารถการันตีได้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการขายและการตลาดหรือไม่ หรือ องค์กรจะมีความพยายามในการพัฒนาแพลตฟอร์มที่สามารถใช้ประโยชน์ได้จริงหรือไม่

อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ว่า Digital Transformation ไม่สามารถเกิดขึ้นได้จากการเพิ่มขึ้น หรือ การพัฒนาด้านเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว หรือองค์กรไม่สามารถปรับตัวในยุคดิจิทัลได้จากการพัฒนาแผนกไอทีเพียงอย่างเดียว ซึ่งต้องเป็นหน้าที่ของผู้นำองค์กรที่จะสร้างความสัมพันธ์ทั่วทั้งองค์กร เพื่อการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการทำงานในสอดรับกับยุคดิจิทัล

“Data” – กุญแจสำคัญของ Digital Transformation

2.ถอดรหัสความสำเร็จจาก “Data”

ลำดับต่อมา องค์กรจะต้องให้ความสำคัญกับการเก็บข้อมูลทางดิจิทัลที่ให้บริการ ตัวอย่างง่าย ๆ เช่น ร้านกาแฟที่ให้บริการ Wi-Fi ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่มักจะชอบการใช้งาน Wi-Fi ที่ร้านกาแฟ แต่ถ้าร้านกาแฟสามารถสร้างข้อมูลเกี่ยวกับการใช้งานของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ระยะเวลาการใช้งาน, พฤติกรรมการใช้งานของลูกค้า, อุปกรณ์ที่ลูกค้าใช้งาน และอื่นๆ “ข้อมูล” ที่ได้มาสามารถใช้ในการปรับปรุงการบริการ หรือ ผลิตภัณฑ์ รวมถึงกลยุทธ์ในการทำให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการซ้ำอีกด้วย

“ข้อมูล” ยิ่งมีขนาดใหญ่ขึ้น ความท้าทายของการจัดการข้อมูลยิ่งมากขึ้นด้วย ซึ่งข้อมูลขนาดใหญ่จะสามารถบ่งชี้ลำดับความสำคัญในการจัดการต่าง ๆ ภายในองค์กร รวมถึงจุดแข็ง จุดอ่อน และ ข้อผิดพลาดภายในกระบวนการทำงาน โดยจำเป็นที่จะต้องทำความเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นในการสร้างความสัมพันธ์ของคู่ค้า และ พนักงาน ที่จะสร้างจุดแข็งภายในองค์กรให้มีมากขึ้นด้วย

3.สิ่งสำคัญ คือการช่วยให้ระบบธุรกิจสามารถสื่อสารกันผ่านทาง API ซึ่ง Michael Schrage ของ MIT อธิบายว่า “เส้นทางสำหรับการปรับเปลี่ยนกระบวนการ คือ การทำงานพัฒนาระบบที่สามารถทำงานร่วมกันเป็นแพลตฟอร์ม”

สำหรับ Digital Transformation การเปลี่ยนแปลงระบบโครงสร้างด้วยเทคโนโลยีในปัจจุบัน เริ่มเป็นที่สนใจ และ มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างในหลายอุตสาหกรรมที่รวดเร็ว รวมถึงมีการอัพเดทเทคโนโลยีใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา การปรับเปลี่ยนนี้อาจจะเป็นชัยชนะในครั้งแรกที่จะนำไปสู่ชัยชนะขององค์กรภายในอนาคต ซึ่งระบบดิจิทัลนี้เป็นโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความสำหรับในระยะยาว

LINE Official Account สำหรับธุรกิจ

จะทำธุรกิจ จะต้องรู้จัก LINE Official Account ที่สร้างขึ้นมาเพื่อธรุกิจโดยเฉพาะ หลายคนอาจจะรู้จัก LINE@ ช่องทางการตลาดของ Line แต่ LINE Official Account ถูกออกแบบให้ใช้งานง่ายขึ้นมาดูกันว่า LINE Official Account ทำอะไรได้บ้าง

1.LINE@ ที่เราคุ้นหูจะรวมกับ LINE Official Account เหลือเพียงแพลทฟอร์มเดียวเท่านั้น

  1. LINE Official Account เพิ่ม Tools ที่สะดวกกว่าเดิมสำหรับทำ Marketing ที่ LINE รวมไว้ให้ ได้แก่ Rich Message, Survey, Rewards Card, Coupon etc.
  2. LINE Official Account สามารถ เลือกส่งข้อความไปยัง Target ด้วย CMS เช่น เลือก เพศ, อายุ, os, พื้นที่, Friendship Period ทำให้ Message มีคุณภาพและไม่รบกวน Follower อื่นๆ ช่วยให้ Blocked Rate น้อยลง (ใช้ได้เฉพาะ Account ที่มี Follower 100 คนขึ้นไป)
  3. สร้าง Sponsored Sticker เพื่อ Get Follower ได้เหมือนแบรนด์ใหญ่ๆ ผ่านการ add friend, ทำ Mission พิชิตสติ๊กเกอร์, โหลดสติ๊กเกอร์หลังดู VDO จบ หรือดาวน์โหลดจากแบรนด์โดยตรง
  4. LINE Official Account เพิ่มตัวช่วยการตอบแชทที่สามารถใช้งานสลับกันระหว่าง Bot Mode และ Admin mode ผู้ใช้สามารถดู Log การพูดคุยระหว่าง Bot และ Admin โดยจะแยกตามสีของข้อความ เช่น ข้อความที่ส่งโดยแอดมินผู้ที่ใช้อยู่ จะเป็นสีเขียว ส่วน auto reply message และข้อความที่ตอบโดย admin คนอื่นจะเป็นสีม่วง เพื่อป้องกันการสับสน
  5. LINE Official Account อัพเดทการคิดค่าบริการตามการใช้งานจริง หรือ Pay as you go (เริ่มใช้ราคาใหม่ 1 สิงหาคม 2562) หลังจากปรับการใช้งานแล้ว LINE Official Account จะคิดค่าบริการเป็น 2 ส่วนหลักๆ คือ แพ็คเกจรายเดือน และค่าบริการจากการส่งข้อความส่วนเกิน

ทำไมต้องเลือก Google Display

Google Display Network (GDN) คือ การลงแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์ต่างๆ ในเครือข่ายของกูเกิ้ล ซึ่งการทำการตลาดผ่าน Google Display Network (GDN) สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม โดยรูปแบบโฆษณาแบบนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่

  1. Text Ads – โฆษณาแบบข้อความสั้นๆ ประกอบด้วย หัวข้อ เนื้อหาแบบย่อ และ URL
  2. Image Ads/Banner Ads – โฆษณาแบบรูปภาพหรือแบนเนอร์
  3. Rich Media – โฆษณาแบบรูปภาพเป็นแบบ Interactive หรือ Animation
  4. Video Ads – โฆษณาแบบวิดีโอ

กิจกรรมต่างๆ ของคนยุคใหม่ไม่พ้นต้องใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง หรืออัปเดตข่าวสาร ด้วยสาเหตุนี้จึงต้องมาดูกันว่าทำไมถึงต้องเลือก Google Display Network (GDN) มาใช้โฆษณาสินค้าแทนที่จะใช้ช่องทางอื่นๆ

  1. สร้างการรับรู้ (Brand Awareness) เว็บไซต์พันธมิตรของ Google มีเยอะแยะมากมาย ทำให้เกิดการผ่านตาสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าจำนวนมาก จึงมีโอกาสที่ลูกค้าสนใจและเข้าไปเลือกซื้อสินค้า
  2. เพิ่มความต้องการใน Brand และเพิ่มยอดขาย สามารถกำหนดประเภทของเว็บไซต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายได้
  3. เลือกกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และตรงกับความต้องการ สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะให้เห็นโฆษณาได้
  4. จำกัดงบโฆษณาต่อวันได้ งบไม่บานปลาย สามารถระบุงบประมาณในการลงโฆษณาได้ เพื่อไม่ให้งบบานปลาย

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งว่าทำไมต้องเลือก Google Display Network (GDN) มาเป็นตัวช่วยในการทำการตลาดทางอินเทอร์เน็ต สิ่งสำคัญในการลงโฆษณาคือกำหนดกลุ่มเป้าหมายและวางแผนให้ขัดเจน เพื่อจะได้กำหนดวัตถุประสงค์และสามารถวัดผลที่ได้จากการทำโฆษณาได้

เลือกใช้โฆษณายูทูป

ยูทูป เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย เป็นแพลตฟอร์มประเภทวิดีโอที่มีผู้เข้าชมและแชร์มากที่สุด อีกทั้งการเสียค่าบริการในการโฆษณายูทูปนั้นจะต้องมีผู้ชมวิดีโอขั้นต่ำ 30 วินาที ถึงจะมีการเรียกเก็บเงิน  สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้หลากหลายกลุ่ม เนื่องจากผู้ใช้บริการเว็บไซต์นี้มีกลุ่มคนหลากหลายช่วงอายุ และความสนใจหลากหลายกิจกรรม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเลือกใช้โฆษณายูทูป โดยโฆษณายูทูปนี้แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่

  • โฆษณาแบบดิสเพล โฆษณายูทูปแบบนี้จะปรากฏอยู่ทางขวามือของวิดีโอ ซึ่งอาจจะถูกมองข้ามไปได้ง่ายเพราะคนจะให้ความสนใจกับวิดีโอมากกว่า
  • โฆษณาซ้อนทับ จะปรากฏด้านล่างของคลิปวิดีโอ ซ้อนทับแบบกึ่งโปร่งใส
  • โฆษณาวิดีโอแบบข้ามได้ โฆษณายูทูปแบบนี้จะคั่นวิดีโอ แต่สามารถกดข้ามได้หลังจากผ่านไป 5 วินาที
  • โฆษณาวิดีโอแบบข้ามไม่ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ต้นวิดีโอความยาวไม่เกิน 6 วินาที และไม่สามารถกดข้ามได้
  • การ์ดผู้สนับสนุน ขนาดโฆษณาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละโฆษณา จะแสดงทีเซอร์ 2-3 วินาที ผู้ชมสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าไปชมหรือไม่

Promote Post หายไปไหน

การขยายตัวของสังคมโซเชียวอย่าง Facebook เติบขึ้นทุกวันและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย จำนวนผู้ใช้มากขึ้น การลงทุน การโฆษณาเข้ามามากขึ้น กลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการทำรายได้ให้กับตัวบุคคล ซึ่งการจะทำรายได้จาก Facebook นี้ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือ อะไรก็ตาม ย่อมต้องมีการ promote ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ,โพสต์ หรือแฟนเพจที่สามารถทำรายได้ให้กับเรา และใน Facebook ก็มีฟังค์ชันหนึ่ง ชื่อว่า Promote Post หรือที่หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับชื่อ Boost Post วันนี้เรามาดูกันว่า เจ้าตัวฟังค์ชันนี้มันสามารถทำอะไรได้บ้าง

Promote Post ตามชื่อของมันเลย ก็คือการโปรโมทโพสต์นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันฟังค์ชัน Promote Post ถูกพัฒนาขึ้นมา ในชื่อ Boost Post แทน ซึ่งหมายความว่า การส่งเสริมโพสต์ให้คนอื่นเห็นนั่นเอง แต่วัตถุประสงค์ของฟังค์ชันตัวนี้ยังคงเดิม ก็คือการทำให้แฟนเพจได้เห็นโพสต์ที่เราโพสต์ไป รวมไปถึงเพื่อนของแฟนเพจของเราให้เห็นโพสต์นั้นอีกด้วย

Boost Post (Promote Post) จำเป็นไหม ?

Boost Post จำเป็นต่อเจ้าของเพจนั้น ๆ เพราะปัจจุบันจำนวนคนเล่น Facebook มากขึ้น การที่จะเห็นโพสต์นั้น ๆ ก็น้อยลง รวมไปถึงแฟนเพจยังไม่สามารถเห็นโพสต์ที่เจ้าของเพจนั้น ๆ โพสต์ได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ ไม่ถึง 10% ของแฟนเพจ ดังนั้นการ Boost Post จึงเป็นฟังค์ชันที่เข้ามาแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ แต่การจะทำให้กลุ่มเป้าหมาย ,แฟนเพจหรือคนอื่น ๆ เห็นโพสต์ได้มากขึ้นก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ลงทุนไป ซึ่งมีให้เริ่มตั้งแต่ราคา 150 – 10,000 บาท ยิ่งลงทุนเยอะ ก็จะเห็นโพสต์ได้เยอะขึ้น ส่วนราคาที่นิยมลงทุนกันจะอยู่ที่ 250 บาท

ข้อดีและข้อเสียของฟังค์ชันตัวนี้คืออะไร

อย่างที่ได้อธิบายไปในข้างต้น คือ สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ตรงจุดมากขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่เราต้องการเห็นโพสต์มากขึ้น แต่ในข้อดีก็มีข้อเสีย คือ การระบุกลุ่มเป้าหมาย ต้องระบุอย่างละเอียด ทำให้ต้องเลือกคุณลักษณะที่เฉพาะมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นการตัดโอกาสของลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรา แต่สนใจและอยากซื้อบริการจากเราได้

การเลือกที่จะใช้ฟังค์ชัน Boost Post ถือเป็นการช่วย ให้กลุ่มเป้าหมายสามารถติดตามโพสต์ของคุณได้อย่างทั่วถึง แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสที่จะอ่าน และสามารถนำไปแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ช่วยเพิ่มยอดขาย ทำให้เพจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถเพิ่มรายได้ให้คุณอีกด้วย

ก่อนออกงานอีเว้นท์

สำหรับมือใหม่ ที่กำลังจะจัดงานอีเว้นท์ จำเป็นที่จะต้องมีกลยุทธ์จัดบูธอย่างไรให้คนที่เข้าร่วมงานอีเว้นท์สนใจ สิ่งที่เราอยากนำเสนอภายในบูธของเรา เพราะภายในงานต่างก็มีหลากหลายบริษัทที่จัดบูธ ซึ่งบางบูธเป็นบริษัทของคู่แข่งเราก็มี เพราะฉะนั้นจะทำอย่างไรให้บูธของเราดึงดูดผู้คนในงานให้ดูน่าสนใจ

  1. กำหนด/ วางแผนล่วงหน้า

ควรกำหนดเป้าหมายในการขายให้ชัดเจน และวางแผนแนวทางต่างๆ เช่น รายชื่อสินค้า การขนส่ง โปรโมชั่น รวมถึงจำนวนสินค้าที่จะนำไปจำหน่าย ซึ่งเราควรจัดเตรียมสต็อกสินค้าให้เพียงพอ และควรมีแนวทางการแก้ไขปัญหาไว้เป็นทางเลือกสำรอง

  1. จัดวางสินค้าให้น่าสนใจ

บางครั้งขนาดของบูธก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด แต่สิ่งที่เราจะทำได้ก็คือการออกแบบพื้นที่ในการจัดวางสินค้าให้น่าสนใจที่สุด หรืออาจออกแบบป้ายโฆษณามาช่วยในการประชาสัมพันธ์ด้วยก็ได้

  1. เลือกคนที่เหมาะสมที่จะทำงานที่บูธ

คุณสมบัติของผู้ดูแลบูธ ต้องมีความรู้ในเรื่องของสินค้า และประโยชน์ของสินค้านั้นๆ เป็นอย่างดี สามารถนำเสนอ และสื่อสารออกมาให้ผู้อื่นเข้าใจ สามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้

  1.  สร้างการติดตาม และการขายที่มีคุณภาพ

เพื่อไม่ให้เสียโอกาสในการขายหลังจบงาน ควรมีการเก็บข้อมูลสำหรับคนที่สนใจเพิ่มเติม เพราะบางคนสนใจสินค้า และบริการของเราแต่ยังไม่พร้อมที่จะซื้อในตอนนั้น ก็จะสามารถนำข้อมูลในส่วนนี้มาติดต่อกลับไปในภายหลังได้ ถือเป็นการเพิ่มยอดขายได้อีกทาง

  1. ประเมินผลหลังการออกงาน

พยายามรวบรวมข้อมูลต่างๆ ทั้งคำติชม ผลตอบรับการดำเนินงานให้มากที่สุด เพื่อที่เราจะได้นำมาประเมิน และปรับใช้ในการออกงานในรอบต่อไปได้

เพราะการออกงานอีเว้นท์ถือเป็นการประชาสัมพันธ์แบรนด์อีกช่องทางหนึ่ง แถมยังได้ประสบการณ์จากการวางแผน การแก้ไขปัญหา หรือแม้กระทั่งเทคนิคการขายเพิ่มมากขึ้นด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้คุณประสบความสำเร็จ และมีโอกาสสร้างยอดขายได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน

7 เคล็ดลับในการใช้อีเมล

7 เคล็ดที่ไม่หลับ ผลักดันการทำการตลาดบนอีเมล ให้ประสบผลสำเร็จอย่างสูงสุด ด้วยต้นทุนเพียงเล็กน้อย การทำการตลาดบนอีเมลก็สามารถช่วยขยายธุรกิจของคุณให้เจริญเติบโตได้ อย่างง่ายดาย

1.สร้างแรงดูดในการสมัครสมาชิกที่น่าสนใจว่า

มีอีเมลขยะอยู่จำนวนมากในอีเมลผู้รับที่ได้รับต้องอีเมลต่อที่มากมายที่ไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดในการช่วยเหลือสมาชิก โดยหัวเรื่อง: การต้องการสร้างแรงจูงใจในห้างหุ้นส่วนจำกัดหัวเรื่อง: การเลือกเข้าร่วม

หัวข้อที่ดึงดูดได้มาก:วิธีการซื้อหนังสือและ whitepapers, คูปองส่วนลดหรือรหัสคูปองทันที, เคล็ดลับ, กรณีศึกษา, การเข้า ถึงหลักสูตรออนไลน์, สิ่งที่ให้โดยไม่คิดเงินต้นแบบคุนควรคิดเกี่ยวกับสิ่งที่ขับเคลื่อนผู้ชมของคุณสิ่งที่พวกเขาจะพบว่ามีประโยชน์และมีส่วนร่วมมากจนไม่สามารถต้านทานการรับรายชื่ออีเมลของคุณ ได้? สร้างสิ่งนั้นและพวกเขายินดีที่จะเข้ามาอยู่ในรายการของคุณ

2.สร้างใบแจ้งรายการทางบัญชีที่

เราได้รับทราบถึงสิ่งที่อยู่ในการเข้าร่วม แต่คุณต้องส่งมอบความปรารถนาของสมาชิกที่คุณจะได้รับประโยชน์อะไรบ้าง

ตัวอย่างเช่นคุณอาจสัญญาว่า:เคล็ดลับที่เป็นประโยชน์และฟรีจะถูกส่งไปยังกล่องจดหมายของพวกเขาทุกวัน, การรับส่วนลดและการลดราคาพิเศษระดับ VIP, สิ่งที่จะได้รับโดยไม่ซ้ำกับใคร, การ มีส่วนร่วมกับชุมชนที่มีความคิดและความกระตือรือร้นในการช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้รับรู้เป็นความคิดที่ดี (และถูกต้องตามกฎหมาย) ที่จะกล่าวถึงว่าคุณไม่ได้เป็นสแปมและพวกเขาสามารถยกเลิกการสมัครรับได้ตลอดเวลา – กลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการสมัครรับข้อมูลกำหนดชื่อรายชื่ออีเมลที่เป็นประโยชน์ต่อการสมัครรับข้อมูลตัวอย่างเช่น Christie “นั้นน่าสนใจใจกว่า” รายชื่ออีเมลของ Christie “

  1. โปรโมทรายการของคุณอย่างบ้าคลั่ง

เมื่อคุณวางรากฐานสำหรับการตลาดผ่านอีเมลของคุณแล้วนั่นคือเหตุผลที่ผู้คนได้รับการแจ้งเตือนและสมัครรับข่าวสาร – คุณควรจะโปรโมทมันได้ทุกที่ เกี่ยวกับมัน!

คุณสามารถโปรโมทจดหมายข่าวอีเมลของคุณผ่าน:เว็บไซต์ของคุณ (แบบฟอร์มสมัครงานที่สมบูรณ์แบบและใช้งานได้ง่าย), โซเปอลมีเดียเช่น Facebook, Twitter และ Instagram, ช่อง YouTube ของคุณ, การตลาดมือถือ, การ ตลาดการพิมพ์ (นามบัตร, โบรชัวร์, ฯลฯ ), การแนะนำตัวอักษรแบบใหม่เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ที่สุด

4.ส่งเนื้อหาที่มีค่า

คุณระบุเหตุการณ์ที่คนควรจะได้รับข้อมูลตอนนี้คุณต้องส่งมอบตามคำสัญญาของคุณเมื่อคุณพัฒนาเนื้อหาที่มีค่าคุณสามารถดึงดูดผู้ชมของคุณอย่างแท้จริงจริงส่งเสริมความภักดีของลูกค้าในระยะยาวและมีอิทธิพล ต่อยอดขายที่ช่วยให้ธุรกิจของคุณเร่งรีบสู่ธุรกิจเต็มเวลาที่คิดเกี่ยวกับลูกค้าของคุณพวกเขามีปัญหาอะไรบ้างบ้าง? คุณจะทำให้ชีวิตของพวกเขาง่ายขึ้นและดีขึ้นเมื่อตอนนี้คุณจะได้รับประโยชน์จากการทำการตลาดผ่านอีเมลได้รับการตีพิมพ์เนื้อหาอีเมลประกอบด้วย: เคล็ดลับและคำแนะนำวิธีการ, การแก้ปัญหาและตอบคำถามทั่วไป, แนะนำ แหล่งข้อมูลใหม่และมีประโยชน์, นำเสนอข่าวลูกค้าของคุณที่สนใจ, เปรียบเทียบผลิตภัณฑ์, ไฟสปอร์ตไลท์ของลูกค้าและกรณีศึกษา, สิ่งที่ให้โดยไม่คิดค่าใช้จ่ายในขณะที่คุณสร้างเนื้อหาพยายามทำให้เป็นรูปแบบการค้นหาวิธีที่เกี่ยวข้องกับลูกค้าของคุณและสร้างความรู้สึกเป็นน้ำหนึ่งใจเย็นยิงปืนเล่าเรื่องราวของคุณพูดคุยกับผู้ชมของคุณและเป็นส่วนหนึ่งของ ชุมชนที่แบ่งปันเมื่อคุณพัฒนาเนื้อหาที่น่าสนใจสะท้อนให้เห็นถึงลูกค้าของคุณจากนั้นคุณสามารถส่งเสริมข้อเสนอและผลิตภัณฑ์ที่ ตุ้นกำไร: ข้อเสนอส่วนลดพิเศษ, ตู้โชว์สินค้าและแคตตาล็อค, ข้อเสนอซื้อแบบหนึ่งต่อหนึ่ง, การกำหนดราคาล่วงหน้าการตลาดผ่านอีเมลการตลาดไม่ได้เป็นเพียงแค่เรื่องการตลาดอีเมลของคุณ คุณสามารถใช้ประโยชน์จากความเชื่อมั่นได้อย่างเต็มที่ก่อนที่จะสร้างให้กับลูกค้าที่มีความรู้สึกสบายใจที่จะทำการซื้อครั้งต่อไป

5.เบื่อการเปิดรับหนังสือที่

ผู้คนได้รับอีเมล 80 ถึง 120 ฉบับต่อวันจึงเป็นเรื่องง่ายที่จะคัดลอกเนื้อหาที่มีค่าที่สุดเท่าที่จะทำได้ อีเมลของให้ที่คุณคุณโดดเด่นและเปิดใช้งานพนักงาน

แนวคิดเรื่องหัวเรื่องที่แข็งแกร่ง ได้แก่ : การอ้างอิงวัฒนธรรมที่ได้รับความนิยม, แฮชแท็ก, พาดหัวข่าวเชิงพรรณ อักษรศาสตร์ความรักผลประโยชน์ทางการเงินที่ได้รับจากการทดสอบ A / B เพื่อทดสอบอีเมลหัวข้อที่คุณได้รับการทดสอบ 2 เรื่องที่แตกต่างกันจำนวนสมาชิกที่มีความดีที่สุด จากนั้นใช้หัวเรื่องที่ชนะในรายการ ที่เหลือของคุณ

6.ส่งเป็นประจำ

มันไม่มีความลับว่าการทำอะไรเป็นสิ่งสำคัญต่อความสำเร็จด้านการตลาดมันเป็นเหตุผลที่คุณต้องส่งอีเมลรายการของคุณเป็นประจำมีความเกี่ยวข้องและเพื่อเพิ่มโอกาสในการติดต่อกับลูกค้าเมื่อเขา พร้อมที่จะซื้อนักการตลาดส่งอีเมลทุกวันคนสองเท่าในสัปดาห์และบางอีเมลเท่านั้นทุกสัปดาห์แน่นอนว่าคุณต้องการที่จะหลีกเลี่ยงเลี่ยงการถ กมองว่าเป็นสแปมดังนั้นกฎง่ายๆ คือส่งอีเมลบ่อยเท่าที่คุณมีสิ่งที่มีคุณค่าในการบอกต่อนั่นไม่ได้หมายความว่าต้องรอเป็นเดือนในการส่งอีเมลสร้างปฏิทินการตลาดผ่านอีเมลและทำตามนั้น

  1. ติดตามผลลัพธ์ของคุณ

ยิ่งกว่านั้นคุณจะรู้ว่าอีเมลของคุณมีมากแค่ไหนในการสร้างอีเมลในอนาคตที่จะให้ผลลัพธ์ในเชิงบวกมันจะง่ายขึ้นมากในที่สุดคุณควรติดตามอัตราการเปิดและคลิกอีเมลทุกฉบับที่คุณส่งไป นี่ยังเป็นความคิดที่ดีที่จะบอกถึงตัวชี้วัดอีเมลเหล่านั้นด้วยการเยี่ยมชมเว็บไซต์ ความสามารถในการรับประโยชน์จากอีเมลรายงานขั้นสูงเพื่อรับทราบข้อมูลเชิงลึกของสมาชิกในครอบครัวของคุณ: อุปกรณ์และเบราว์เซอร์ คลิกที่นี่เพื่อรับอีเมลของคุณ, การเปรียบเทียบเช่นการนับจำนวนบรรทัดคำเปรียบเทียบกับการเปิดและการคลิกอัตราวันที่และเวลา เป็นต้น

ด้วยเคล็ดลับเหล่านี้คุณสามารถสร้างรายการผู้สมัครสมาชิกจำนวนมากที่ต้องการอ่านอีเมลของคุณและคลิกเพื่อรับประโยชน์จากข้อเสนอต่อไปของคุณได้รับประโยชน์จากการทำตลาดผ่านอีเมลของคุณโดยการสร้าง อีเมลที่น่าสนใจส่งมอบและปฏิบัติตามกฎ CAN-SPAM และความเร่งรีบด้านข้างของคุณจะเฟื่องฟูในเวลาไม่นาน