Digital Marketing คืออะไร

ในยุคที่อินเทอร์เน็ตเข้ามามีบทบาทในการใช้ชีวิตประจำวันมากขึ้น ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์และนิตยสารได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก แต่ปัจจุบันกลับต้องปิดตัวลง การทำโฆษณาหรือการตลาดก็ต้องปรับตัวไปตามสภาพเพื่อเอาตัวรอดให้ได้ จึงจะเห็นได้ว่าหลายธุรกิจได้ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นช่องทางการตลาดอีกทางหนึ่ง ซึ่งหลายหลายคนคงได้ยินคำว่า Digital Marketing กันบ้างแล้ว

Digital Marketing คือ การทำการตลาดรูปแบบหนึ่งผ่านทางอินเทอร์เน็ต เพื่อโปรโมทสินค้าและเพิ่มยอดขายโดยใช้กลยุทธ์ต่างๆ สร้างการมีส่วนร่วมกับลูกค้า ซึ่งช่องทางนี้ได้รับความนิยมเนื่องจากคนสามารถเข้าถึงได้ง่าย ทุกที่ทุกเวลา และเข้าถึงกับลูกค้าได้ทุกระดับ

โดยช่องทางที่จะทำ Digital Marketing มีหลากหลายรูปแบบ ต่างกันที่ฟีเจอร์และการใช้งาน แบ่งออกเป็น 4 ช่องทาง ได้แก่

  1. Facebook ช่องทางที่ได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถสร้างคอนเทนต์ได้หลากหลายรูปแบบ ทั้งรูปภาพ วิดีโอ และลูกเล่นต่างๆ
  2. Instagram ช่องทางที่ได้รับความนิยมจากวัยรุ่นและวัยทำงาน โดยเน้นเนื้อหาที่เป็นรูปภาพหรือวิดีโอที่เข้าใจง่ายและรวดเร็ว
  3. Youtube เป็นช่องทางที่นำเสนอเนื้อหาเฉพาะรูปแบบวิดีโอ สามารถเข้าใจง่ายและสร้างความดึงดูดได้เป็นอย่างดี
  4. E-mail ถือว่าเป็นช่องทาง Digital Marketing ที่มีมาอย่างยาวนาน วิธีนี้จะแตกต่างกับวิธีอื่นๆ เพราะเนื้อหาจะถูกส่งเข้าสู่ E-mail ส่วนตัวของแต่ละคนโดยตรง มีโอกาสได้รับการตอบรับจากลูกค้าค่อนข้างสูง ซึ่งง่ายต่อการรักษาฐานลูกค้าเก่า และขยายฐานลูกค้าใหม่

เพิ่มยอดขาย LINE@

4 วิธีดีๆที่เราจะแนะนำในการเพิ่มยอดขายใน Line@ แบบไม่ต้องเสียเงินลงทุนสักบาทใน Line@ เพื่อเป็นประโยชน์ให้ผู้ที่สนใจเริ่มทำธุรกิจใน Line มาฝากกันครับ

  • ขายยกเซ็ต เช่น ซื้อคู่ถูกกว่า, ซื้อเป็นแพ็คประหยัดกว่า, ขายแบบจัดเป็นเซ็ต หรืออาจจะจัดโปรซื้อชิ้นที่ 2 ลด 50% ก็ได้
  • สิทธิพิเศษ อาจให้เป็นสิทธิส่งฟรี EMS หรือจะให้สะสมแต้มแจกของรางวัล แจกบัตรสมาชิกก็ยังได้
  • ลดต้นทุน โดยการตรวจสอบต้นทุนในการทำธุรกิจทั้งหมด แล้วดูว่ามีส่วนไหนที่ไม่จำเป็น และสามารถตัดออกได้บ้าง เช่น ค่าขนส่ง อุปกรณ์แพ็คของต่างๆ เป็นต้น นอกจากนี้ยังควรเช็กเงินที่ใช้ไปกับการทำโฆษณาด้วย ว่าเราจ่ายค่าโฆษณาที่ซ้ำซ้อนอยู่ไหม ผลตอบรับที่ได้คุ้มค่ากับเงินที่จ่ายไปหรือเปล่า
  • คุยกับลูกค้าเก่า การรักษาลูกค้าเก่านั้นถือว่าจำเป็นมาก เพราะลูกค้าเก่าจะรู้จักธุรกิจเราอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียค่าโฆษณาสร้าง Awareness ก็สามารถขายได้เลย ตัวอย่างเช่นการใช้ Broadcast บน LINE@ ลูกค้าที่ Follow เราย่อมรู้จักและชื่นชอบสินค้าของเราอยู่แล้ว แถมลงทุนเพียงแค่ 998 บาท ต่อเดือน แต่ส่ง Broadcast ผ่าน LINE@ ทีเดียวก็ได้กำไรเกินที่ลงทุนแล้ว

เห็นไหมคะว่าเรื่องเล็กน้อยที่เรามองข้าม หรือไม่ได้ใส่ใจนี่แหละจะสามารถลดเงินลงทุน แต่จะช่วยเพิ่มความคุ้มค่าให้กับธุรกิจของเราได้ไม่น้อยเลยทีเดียว อ่านแล้วก็รีบนำไปปรับใช้กันด้วยนะคะ ก่อนที่จะตามคู่แข่งไม่ทัน!

ขายของในไลน์ ผ่าน Line@

Line@ เปรียบเสมือนหน้าร้านค้าของเรา ที่เปิดอยู่ใน Line มีไว้สำหรับขายสินค้า และบริการของเรา ผ่าน Line@ ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในการ ขายของในไลน์สำหรับใครที่อยากจะเริ่ม ขายของผ่าน Line@ แต่ไม่รู้จะเริ่มอย่างไร วันนี้เราจะมาแนะนำ

หากใครที่มี Account Line@ แล้วแต่ไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหนดี วันนี้ NIPA Training มีเคล็ดลับง่ายๆ มาบอกเหล่ามือใหม่ที่ขายของในไลน์ได้รู้กัน ก่อนอื่นหลังจากสมัคร Account Line@ อย่าลืมตรวจสอบว่าเราสมัครผ่านตัวแอปฯ หรือผ่านเว็บไซต์ ซึ่งถ้าสมัครผ่านแอปฯ จะต้องขอ Approve ด้วย เพราะระบบไม่ได้ขอให้อัตโนมัติเหมือนการสมัครผ่านเว็บไซต์ หลังจากเช็กเรียบร้อยแล้วก็ไปดู 5 สิ่งแรกที่ควรทำเมื่อเริ่มขายของในไลน์ ผ่าน Line@ ได้เลย

  1. ซื้อ Premium ID

การใช้ RandomID ที่ได้จาก Line@ ตั้งแต่แรกไปโปรโมท คงจะไม่เป็นผลดีแน่นอน เพราะ RandomID มักจะเป็นตัวอักษรและตัวเลขที่จัดวางแบบอ่านไม่ออก จะพิมพ์ก็ยาก ลูกค้าคงจะจำไม่ได้แน่นอน เราแนะนำให้พ่อค้าแม่ค้าที่ขายของในไลน์ หันมาเปลี่ยน ID ให้เป็นชื่อร้านของเราเองโดยซื้อ Premium ID ซึ่งค่าใช้จ่ายก็ไม่ได้แพงจนเกินไป แถมลูกค้ายังจดจำแบรนด์ของเราได้อย่างง่ายดายอีกด้วย

  1. ขยันอัปเดตอย่าปล่อยให้ Line@ ร้าง

อย่าลืมอัปเดตข้อมูลใน Line@ อยู่ตลอดเวลา เพื่อไม่ให้ลูกค้าสงสัยว่าเป็น Line@ ร้างโดย

– เปลี่ยนภาพโปรไฟล์ใหม่ให้เป็นโลโก้หรือสินค้าของร้านตัวเอง

– โพสต์คอนเทนต์บนไทม์ไลน์ อย่างน้อย 2 – 3 โพสต์ต่อสัปดาห์ อาจเป็นการแนะนำร้านค้า แนะนำสินค้าหรือที่ตั้งของร้าน

– ใส่ภาพ Cover ให้ไทม์ไลน์ด้วย ซึ่งทำได้โดยเปิดแอปฯ ขึ้นมา เลือกแถบ Home แล้วคลิกบนภาพ Cover เพื่อเลือกภาพจากมือถือมาใส่ได้เลย

  1. สร้าง Coupon

ตัวช่วยสำคัญที่จะทำให้การขายของในไลน์ของคุณประสบความสำเร็จมากขึ้น ก็คือการแจกคูปองนั่นเอง จำไว้ให้ดีว่าลูกค้ามักจะติดตาม Line@ มากขึ้นเมื่อมีการลด แลก แจก แถม รู้อย่างนี้แล้วก็เริ่มสร้างคูปองและ Broadcast เพื่อส่งไปให้ Follower ทุกคนได้เลย

  1. เปลี่ยนข้อความต้อนรับให้โดนใจ

ทุกครั้งที่มีคนแอดเรามาใหม่เจ้า Greeting Message จะเด้งไปทักทายโดยอัตโนมัติ ดังนั้นคนที่ขายของในไลน์จึงควรบันทึกข้อมูลที่ลูกค้าถามบ่อยๆ ลงไป เช่น ร้านมีกี่สาขา วิธีสั่งซื้อ โปรโมชันต่างๆ หรือจะใส่ลิงก์เพื่อเข้าสู่หน้าเว็บไซต์ของทางร้านก็ได้ นอกจากนี้ยังสามารถใส่คูปองที่สร้างไว้ในขั้นตอนที่แล้ว พอลูกค้าแอดมาก็สามารถนำไปใช้ได้เลย

  1. โปรโมท Line@

เมื่อตั้งค่า Line@ พร้อมแล้ว ก็อย่าลืมโปรโมท Line@ เพิ่มยอด Follower เพื่อสร้างโอกาสในการขายของในไลน์ วันนี้เรามี 3 วิธีเพิ่มยอด Follower แบบง่ายๆ มาแนะนำ

– เพิ่มจำนวนเพื่อนจากช่องทางที่มีอยู่แล้ว อย่ารอช้ารีบแชร์ลิงก์ไปเลยทุกช่องทาง ทุกโซเชียลมีเดีย

– อย่าลืมโพสต์บนไทม์ไลน์ เพราะยิ่งกดไลก์เยอะก็ยิ่งมี ก็ยิ่งมีคนเห็นเยอะมากขึ้นไปอีก

– สำหรับคนที่มีหน้าร้าน อย่าลืมแจ้งข่าวหรือกิจกรรมที่หน้าร้านด้วย อาจจะทำเป็นโปสเตอร์แปะไว้ให้ลูกค้าแอดไป รับรองมีลูกค้าเพิ่มขึ้นแน่นอน

รู้แบบนี้แล้วก็อย่ารอช้า รีบหยิบมือถือขึ้นมาสมัคร Line@ แล้วอย่าลืมทำตามที่เราแนะนำ เพียงเท่านี้การขายของในไลน์ให้ประสบความสำเร็จก็จะไม่ยากอีกต่อไป

ผู้จัดงานอีเว้นท์

หลายคนคงคิดว่าการจะออกบูธในงานอีเว้นท์แต่ละครั้งคงต้องยุ่งยากมีหลายขั้นตอน และไม่รู้ว่าขั้นตอนการติดต่อจะเป็นยังไงต้องเริ่มจากตรงไหนหรือต้องเตรียมข้อมูลอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาบอกถึงข้อมูลเบื้องต้นที่ร้านค้าควรเตรียมไว้ เพื่อใช้ในการติดต่อขอพื้นที่ออกบูธในงานอีเว้นท์ ซึ่งขั้นตอนการติดต่อของแต่ละงานอาจจะแตกต่างกันไป แต่ข้อมูลเบื้องต้นจะคล้ายๆ กันตามนี้เลยนะคะ

  1. ข้อมูล/ รายละเอียดของร้าน

ควรเตรียมรายละเอียดต่างๆ ของร้านให้ครบถ้วน ทั้งชื่อร้าน รายละเอียดของสินค้า รวมถึงชื่อเจ้าของร้าน หรือชื่อผู้ที่ดูแล เพื่อที่ทางผู้จัดงานอีเว้นท์จะได้ทราบข้อมูลนี้เบื้องต้น และสามารถจัดพื้นที่ที่เหมาะสมให้ได้ ดังนั้นเราควรบอกรายละเอียดเกี่ยวกับร้าน และสินค้าให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่าลืมว่าไม่ใช่ทุกคนจะรู้จักร้านเรานะคะ

  1. ช่องทางการติดต่อ

ส่วนใหญ่แล้วทางผู้จัดงานอีเว้นท์จะขอช่องทางการติดต่อเพิ่มเติมอยู่แล้ว ซึ่งผู้จัดส่วนใหญ่ก็อยากดูโซเชียลมีเดีย เพื่อดูความเหมาะสมเพิ่มเติม ต้องบอกเลยว่าหน้าโซเชียลมีเดียถือเป็นสิ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของผู้จัดงานมากๆ ดังนั้นพยายามนำเสนอ และอัปเดตสินค้าของร้านเป็นประจำ เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของร้านนั่นเอง

  1. รูปภาพประกอบการตัดสินใจ

เป็นอีกข้อที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญมากๆ นะคะ เพราะภาพประกอบเหล่านี้จะเป็นสิ่งที่ผู้จัดงานจะใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะเลือกร้านเราไปออกบูธในงานอีเว้นท์หรือไม่? ยิ่งเราจัดวาง พรีเซนต์สินค้าได้ดีเท่าไร มันก็จะแสดงถึงภาพลักษณ์ของร้านมากขึ้นเท่านั้น รับรองได้เลยว่าถ้าคุณใส่ใจในรายละเอียดยังไงร้านคุณก็จะได้รับเลือกให้ออกบูธแน่นอน

แต่ก่อนที่เราจะไปออกบูธงานไหน ก็ควรดูให้ดีก่อนว่างานอีเว้นท์นั้นเหมาะกับสินค้าของเราหรือไม่ เพราะแต่ละงานก็จะมีกลุ่มเป้าหมายไม่เหมือนกัน ดังนั้นถ้าอยากได้ลูกค้าที่ตรงกลุ่มก็อย่าลืมเช็กรายละเอียดของงานอีเว้นท์ให้เรียบร้อย และเตรียมข้อมูลให้พร้อม เพื่อความสะดวก และง่ายต่อการติดต่อกลับนะคะ

LINE กับ LINE@ ต่างกันอย่างไร?

พ่อค้าแม่ค้าหลายคนคงสงสัย ว่าทำไมต้องใช้ LINE@ ทั้งๆ ที่เราก็สามารถใช้ LINE ธรรมดาพูดคุยกับลูกค้าได้เหมือนกัน แต่ถ้าพูดถึงจุดประสงค์ของทั้ง 2 ตัว จะเห็นถึงความแตกต่าง และจุดประสงค์ของเครื่องมือ 2 ตัวได้ชัดเจนเลยทีเดียว

LINE ถูกออกแบบมาเพื่อพูดคุยส่วนบุคคลอย่างเพื่อนหรือครอบครัว เหมาะที่จะใช้พูดคุยเรื่องส่วนตัว

LINE@ เหมาะกับการสร้างความสัมพันธ์ทางธุรกิจ เพราะมีฟีเจอร์ที่ตอบโจทย์การทำธุรกิจที่หลากหลาย

แต่ก็ไม่ผิดถ้าหากจะขายของใน LINE ธรรมดาอยู่ เพียงแค่คุณจะพลาดโอกาสในการเข้าถึงลูกค้าไป ยกตัวอย่างเช่น

ไม่มีระบบแอดมิน

เป็นที่รู้กันว่า LINE สามารถใช้ได้เพียงแค่ 1 ID ต่อ 1 เครื่องเท่านั้น ซึ่งอาจทำให้การตอบลูกค้าตกหล่นไปเพราะมีผู้ตอบกลับเพียงคนเดียว

LINE เพิ่มเพื่อนได้มากสุดแค่ 5000 คน

ถ้าธุรกิจของคุณเป็นธุรกิจเล็กๆ ก็อาจขายของใน LINE ธรรมดาได้ แต่คงจะวุ่นวายมากแน่หากต้องใช้ไลน์ส่วนตัวที่มีไว้คุยกับเพื่อน หรือครอบครัวร่วมกับการตอบไลน์ลูกค้า และเมื่อถึงเวลาที่ร้านค้าเริ่มขายดีแล้วมีลูกค้าสนใจแอดเข้ามาเรื่อยๆ อาจติดตรงที่เพื่อนเต็ม ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเพิ่มเพื่อนได้ ถือเป็นการเสียโอกาส และพลาดโอกาสในการเพิ่มยอดขายไปในที่สุด

ไม่มีเครื่องมือในการทำการตลาด

LINE ธรรมดาทำได้เพียงแค่การพูดคุยตอบโต้กันเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกับ LINE@ ที่มีเครื่องมือสำคัญหลายตัวที่สามารถสร้างปฏิสัมพันธ์ในการทำการตลาด และเพิ่มยอดขายให้กับธุรกิจได้หลากหลายทางกว่า เช่น

  1. Geeting Message ข้อความสำหรับกล่าวทักทายลูกค้าหลังจากการเพิ่มเพื่อน ด้วยการตั้งข้อความอัตโนมัติ
  2. มีแอดมินตอบลูกค้าได้หลายคน เป็นประโยชน์สำหรับธุรกิจที่ขายดีมากๆ จนตอบลูกค้าแทบไม่ไหว ทำให้ไม่เสียโอกาสในการขายจากการตอบไม่ทัน
  3. E-coupon เป็นสิทธิพิเศษ หรือส่วนลดต่างๆ เราสามารถทำโปรโมชันส่งถึงลูกค้าได้โดยตรง พร้อมกำหนดรายละเอียดต่างๆ เองได้ ทั้งระยะเวลาโปรโมชัน หรือจำนวนการใช้งานคูปอง
  4. Rich Message คือรูปภาพที่มีขนาดใหญ่เท่าหน้าต่างแชทพร้อมใส่ลิงก์ไว้ในรูปภาพนั้นได้ด้วย พูดง่ายๆ คือเมื่อลูกค้าคลิกที่รูปภาพ ก็จะลิงก์ไปสู่เว็บที่กำหนดไว้
  5. Poll & Survey สามารถสำรวจความคิดเห็น และความต้องการของลูกค้าผ่านการสร้างโพล หรือแบบสอบถามถึงลูกค้าได้โดยตรง
  6. Broadcast ใช้สำหรับโฆษณาหรือโปรโมทสินค้าใหม่ๆ สามารถตั้งเวลาล่วงหน้า และกระจายไปสู่ลูกค้าที่มีเราเป็นเพื่อนทั้งหมดได้ในทีเดียว แต่ถึงจะส่งฟรีก็ไม่ควรส่งบ่อยจนเกินไป เพราะอาจทำให้ลูกค้าเกินความรำคาญ และบล็อคร้านค้าของเราได้

หากอยากทำธุรกิจให้ราบรื่น เราควรต้องมีเครื่องมือที่เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ พ่อค้าแม่ค้าคนไหนที่ขายของใน LINE เราแนะนำว่าควรเปลี่ยนมาใช้ LINE@ เพราะเป็นเครื่องมือที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย รวมถึงฟีเจอร์ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ก็สามารถใช้ได้ฟรีๆ รับรองว่าเป็นประโยชน์ต่อการทำธุรกิจ และจะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้มากกว่าเดิมแน่นอน