ทำไมต้องเลือก Google Display

Google Display Network (GDN) คือ การลงแบนเนอร์โฆษณาบนเว็บไซต์ต่างๆ ในเครือข่ายของกูเกิ้ล ซึ่งการทำการตลาดผ่าน Google Display Network (GDN) สามารถเข้าถึงผู้ใช้ได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุม โดยรูปแบบโฆษณาแบบนี้แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ได้แก่

  1. Text Ads – โฆษณาแบบข้อความสั้นๆ ประกอบด้วย หัวข้อ เนื้อหาแบบย่อ และ URL
  2. Image Ads/Banner Ads – โฆษณาแบบรูปภาพหรือแบนเนอร์
  3. Rich Media – โฆษณาแบบรูปภาพเป็นแบบ Interactive หรือ Animation
  4. Video Ads – โฆษณาแบบวิดีโอ

กิจกรรมต่างๆ ของคนยุคใหม่ไม่พ้นต้องใช้อินเทอร์เน็ต ไม่ว่าจะดูหนัง ฟังเพลง หรืออัปเดตข่าวสาร ด้วยสาเหตุนี้จึงต้องมาดูกันว่าทำไมถึงต้องเลือก Google Display Network (GDN) มาใช้โฆษณาสินค้าแทนที่จะใช้ช่องทางอื่นๆ

  1. สร้างการรับรู้ (Brand Awareness) เว็บไซต์พันธมิตรของ Google มีเยอะแยะมากมาย ทำให้เกิดการผ่านตาสร้างการรับรู้ให้กับลูกค้าจำนวนมาก จึงมีโอกาสที่ลูกค้าสนใจและเข้าไปเลือกซื้อสินค้า
  2. เพิ่มความต้องการใน Brand และเพิ่มยอดขาย สามารถกำหนดประเภทของเว็บไซต์ให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายเพื่อเพิ่มยอดขายได้
  3. เลือกกลุ่มเป้าหมายได้ง่าย และตรงกับความต้องการ สามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการจะให้เห็นโฆษณาได้
  4. จำกัดงบโฆษณาต่อวันได้ งบไม่บานปลาย สามารถระบุงบประมาณในการลงโฆษณาได้ เพื่อไม่ให้งบบานปลาย

ทั้งหมดนี้เป็นแค่ส่วนหนึ่งว่าทำไมต้องเลือก Google Display Network (GDN) มาเป็นตัวช่วยในการทำการตลาดทางอินเทอร์เน็ต สิ่งสำคัญในการลงโฆษณาคือกำหนดกลุ่มเป้าหมายและวางแผนให้ขัดเจน เพื่อจะได้กำหนดวัตถุประสงค์และสามารถวัดผลที่ได้จากการทำโฆษณาได้

เลือกใช้โฆษณายูทูป

ยูทูป เว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ในประเทศไทย เป็นแพลตฟอร์มประเภทวิดีโอที่มีผู้เข้าชมและแชร์มากที่สุด อีกทั้งการเสียค่าบริการในการโฆษณายูทูปนั้นจะต้องมีผู้ชมวิดีโอขั้นต่ำ 30 วินาที ถึงจะมีการเรียกเก็บเงิน  สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายใหม่ๆ ได้หลากหลายกลุ่ม เนื่องจากผู้ใช้บริการเว็บไซต์นี้มีกลุ่มคนหลากหลายช่วงอายุ และความสนใจหลากหลายกิจกรรม ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเหตุผลว่าทำไมถึงต้องเลือกใช้โฆษณายูทูป โดยโฆษณายูทูปนี้แบ่งออกเป็นหลายประเภท ได้แก่

  • โฆษณาแบบดิสเพล โฆษณายูทูปแบบนี้จะปรากฏอยู่ทางขวามือของวิดีโอ ซึ่งอาจจะถูกมองข้ามไปได้ง่ายเพราะคนจะให้ความสนใจกับวิดีโอมากกว่า
  • โฆษณาซ้อนทับ จะปรากฏด้านล่างของคลิปวิดีโอ ซ้อนทับแบบกึ่งโปร่งใส
  • โฆษณาวิดีโอแบบข้ามได้ โฆษณายูทูปแบบนี้จะคั่นวิดีโอ แต่สามารถกดข้ามได้หลังจากผ่านไป 5 วินาที
  • โฆษณาวิดีโอแบบข้ามไม่ได้ ส่วนใหญ่จะอยู่ต้นวิดีโอความยาวไม่เกิน 6 วินาที และไม่สามารถกดข้ามได้
  • การ์ดผู้สนับสนุน ขนาดโฆษณาจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับแต่ละโฆษณา จะแสดงทีเซอร์ 2-3 วินาที ผู้ชมสามารถเลือกได้ว่าจะเข้าไปชมหรือไม่

Promote Post หายไปไหน

การขยายตัวของสังคมโซเชียวอย่าง Facebook เติบขึ้นทุกวันและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย จำนวนผู้ใช้มากขึ้น การลงทุน การโฆษณาเข้ามามากขึ้น กลายเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการทำรายได้ให้กับตัวบุคคล ซึ่งการจะทำรายได้จาก Facebook นี้ ไม่ว่าจะเป็นการขายสินค้า หรือ อะไรก็ตาม ย่อมต้องมีการ promote ไม่ว่าจะเป็นสินค้า ,โพสต์ หรือแฟนเพจที่สามารถทำรายได้ให้กับเรา และใน Facebook ก็มีฟังค์ชันหนึ่ง ชื่อว่า Promote Post หรือที่หลาย ๆ คนคงคุ้นเคยกับชื่อ Boost Post วันนี้เรามาดูกันว่า เจ้าตัวฟังค์ชันนี้มันสามารถทำอะไรได้บ้าง

Promote Post ตามชื่อของมันเลย ก็คือการโปรโมทโพสต์นั่นเอง ซึ่งในปัจจุบันฟังค์ชัน Promote Post ถูกพัฒนาขึ้นมา ในชื่อ Boost Post แทน ซึ่งหมายความว่า การส่งเสริมโพสต์ให้คนอื่นเห็นนั่นเอง แต่วัตถุประสงค์ของฟังค์ชันตัวนี้ยังคงเดิม ก็คือการทำให้แฟนเพจได้เห็นโพสต์ที่เราโพสต์ไป รวมไปถึงเพื่อนของแฟนเพจของเราให้เห็นโพสต์นั้นอีกด้วย

Boost Post (Promote Post) จำเป็นไหม ?

Boost Post จำเป็นต่อเจ้าของเพจนั้น ๆ เพราะปัจจุบันจำนวนคนเล่น Facebook มากขึ้น การที่จะเห็นโพสต์นั้น ๆ ก็น้อยลง รวมไปถึงแฟนเพจยังไม่สามารถเห็นโพสต์ที่เจ้าของเพจนั้น ๆ โพสต์ได้อย่างทั่วถึง กล่าวคือ ไม่ถึง 10% ของแฟนเพจ ดังนั้นการ Boost Post จึงเป็นฟังค์ชันที่เข้ามาแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้ แต่การจะทำให้กลุ่มเป้าหมาย ,แฟนเพจหรือคนอื่น ๆ เห็นโพสต์ได้มากขึ้นก็ต้องขึ้นอยู่กับงบประมาณที่ลงทุนไป ซึ่งมีให้เริ่มตั้งแต่ราคา 150 – 10,000 บาท ยิ่งลงทุนเยอะ ก็จะเห็นโพสต์ได้เยอะขึ้น ส่วนราคาที่นิยมลงทุนกันจะอยู่ที่ 250 บาท

ข้อดีและข้อเสียของฟังค์ชันตัวนี้คืออะไร

อย่างที่ได้อธิบายไปในข้างต้น คือ สามารถเจาะกลุ่มเป้าหมายได้ดียิ่งขึ้น ตรงจุดมากขึ้น ทำให้กลุ่มคนที่เราต้องการเห็นโพสต์มากขึ้น แต่ในข้อดีก็มีข้อเสีย คือ การระบุกลุ่มเป้าหมาย ต้องระบุอย่างละเอียด ทำให้ต้องเลือกคุณลักษณะที่เฉพาะมากเกินไป ซึ่งอาจเป็นการตัดโอกาสของลูกค้าที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายของเรา แต่สนใจและอยากซื้อบริการจากเราได้

การเลือกที่จะใช้ฟังค์ชัน Boost Post ถือเป็นการช่วย ให้กลุ่มเป้าหมายสามารถติดตามโพสต์ของคุณได้อย่างทั่วถึง แน่นอนว่ากลุ่มคนเหล่านี้มีโอกาสที่จะอ่าน และสามารถนำไปแชร์ให้กับคนอื่น ๆ ช่วยเพิ่มยอดขาย ทำให้เพจของคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น และสามารถเพิ่มรายได้ให้คุณอีกด้วย